Powered By Blogger

1/26/2554

การท่องเที่ยวทางน้ำในทวีปยุโรป

ท่องเที่ยวช่องแคบบอสฟอรัส แห่งตุรกี
        

        ตุรกี ดินแดนสองทวีปที่คาบเกี่ยวทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย ต้นกำเนิดของอารยธรรมเก่าแก่ และดินแดนที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ ผ่านสู่ยุคสุลต่านเจ้าผู้ครองนครที่สร้างสมวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตุรกี นอกจากนี้ ตุรกียังเป็นเจ้าของสิ่งมหัศจรรย์ทั้งทางธรรมชาติ และสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ อาทิ ปามุกคาเล วิหารอะโครโปลิส คัปปาโดเกีย และอีกมากมาย ที่ล้วนเป็นเสน่ห์ยั่วยวนให้นักเดินทางใฝ่ฝันมาเยือนตุรกีสักครั้งในชีวิต



        ประเทศตุรกี (Turkey) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) ตุรกีเป็นประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ตุรกีในฝั่งเอเชียซึ่งครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย นับเป็นพื้นที่ร้อยละ 97 ของประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสพอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดาเนลเลส (ซึ่งรวมกันเป็นพื้นน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ตุรกีในฝั่งยุโรปซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ ดินแดนของตุรกีมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากกว่า 1,600 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 800 กิโลเมตร ตุรกีมีพื้นที่ (รวมทะเลสาบ) ประมาณ 783,562 ตารางกิโลเมตร

ตุรกี ประเทศตุรกี

ตุรกีถูกล้อมรอบด้วยทะเลสามด้าน ได้แก่ทะเลอีเจียนทางตะวันตก ทะเลดำทางเหนือ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางใต้ นอกจากนี้ ยังมีทะเลมาร์มะราในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ



ตุรกีฝั่งเอเชียที่มักเรียกว่าอานาโตเลียหรือเอเชียไมเนอร์ประกอบด้วยที่ราบสูงในตอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเทือกเขาทะเลดำตะวันออกและเกอรอลูทางตอนเหนือกับเทือกเขาเทารัสทางตอนใต้ และมีที่ราบแคบ ๆ บริเวณชายฝั่ง ทางตะวันออกของตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขาและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายเช่น แม่น้ำยูเฟรติส แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำอารัส นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบวัน และยอดเขาอารารัด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตุรกีที่ 5,165 เมตร
ตุรกี ประเทศตุรกี


สภาพภูมิประเทศที่หลากหลายนั้นเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปี และยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบันในรูปของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และภูเขาไฟระเบิดในบางครั้ง ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลสก็เกิดจากแนวแยกของเปลือกโลกที่วางตัวผ่านตุรกีทำให้เกิดทะเลดำขึ้น ทางตอนเหนือของประเทศมีแนวแยกแผ่นดินไหววางตัวในแนวตะวันตกไปยังตะวันออก ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2542
เมืองหลวง
เมืองหลวงที่สำคัญของประเทศตุรกีคือ กรุงอังการาตุรกี ประเทศตุรกี
เมืองสำคัญ 


เมืองที่สำคัญของประเทศตุรกี ได้แก่ Istanbul (9.2 ล้านคน), Ankara (3.7 ล้านคน), Izmir (3.2 ล้านคน), Adana (1.7 ล้านคน), Bursa (1.9 ล้านคน)
ที่ตั้ง


ส่วนหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป (ร้อยละ 3) อีกส่วนหนึ่งอยู่ในเอเชียตะวันตก ทิศเหนือติดทะเลดำ ทิศตะวันออกติดประเทศจอร์เจีย เขตปกครองตนเอง Nakhitchevan ของประเทศอาเซอร์ไบจาน (18 ก.ม.) และประเทศอาร์เมเนีย ทิศใต้ติดประเทศอิรัก ประเทศซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศบัลแกเรียและประเทศกรีซ

พื้นที่
783,562 ตารางกิโลเมตร (รวมทะเลสาบและเกาะ)

ภูมิอากาศ 
อากาศร้อนในภูมิภาคทะเลดำ อากาศแบบภาคพื้นทวีปในพื้นที่ตอนในและ แบบเมดิเตอร์เรเนียนตามชายฝั่งทะเลภาคใต้

ประชากร-เชื้อชาติ 
71.3 ล้านคน (2546) โดยเป็นชาวเติร์ก ร้อยละ 90 ชาวเคิร์ด ร้อยละ 20

ภาษา ตุรกี ประเทศตุรกี
ภาษาเตอร์กิช ( ภาษาราชการ) ภาษาเคิร์ด ภาษาอาราบิค

ศาสนา 
ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือเป็นคริสเตียนและยิว

สกุลเงิน 
ลิร่า (Lira - TRL) อัตราแลกเปลี่ยนธนาคารกลางตุรกี วันที่ 12 ตุลาคม 2547
1 ดอลลาร์สหรัฐ = 1,521,500 ลีร่า




ช่องแคบบอสฟอรัส
        
        ช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งเป็นช่องแคบที่เชื่อมทะเลดำ (THE BLACK SEA) เข้ากับทะเลมาร์มาร่า (SEA OF MARMARA) ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 32 กิโลเมตร ความ กว้างตั้งแต่ 500 เมตร จนถึง 3 กิโลเมตร ถือว่าสุดขอบของทวีปยุโรปและสุดขอบของทวีปเอเชียมาพบกันที่นี่ นอกจากความสวยงามแล้ว ช่องแคบบอสฟอรัสยังเป็นจุด ยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศตุรกีอีกด้วย เพราะมีป้อมปืนตั้งเรียงรายอยู่ตามช่องแคบเหล่านี้ ว่ากันว่าจนกระทั่งถึงยุคของการนำเอาเรือปืนใหญ่มาใช้และไม่เคยปรากฏว่ากรุงอิสตันบูลถูกถล่มจนเสียหายอย่างหนัก มาก่อนเลย ทั้งนี้เป็นเพราะป้อมปืนดังกล่าวนี้เอง ในปี ค.ศ. 1973 มีการเปิดใช้สะพานบอสฟอรัสซึ่งทำให้เกิดการเดินทางไปมาระหว่างฝั่งเอเชียและยุโรปสะดวกมากขึ้น

รวมภาพบรรยากาศ 2 ฝากฝั่งระหว่างล่อเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส








............................................................................................


ล่องเรือบาโตมูช (Bateaux Mouches) ชมวิวปารีส





          แม่น้ำ Seine เป็นแม่น้ำที่แบ่งกรุงปารีส ออกเป็น ฝั่ง คือ Paris-Rivegauch และParis-Rive droite แม่น้ำ Seine เป็นแม่น้ำสายสำคัญในการขนส่งสินค้าในสมัยโปเลียนได้สั่งให้ขุดคลองสายต่างๆ แยกจากแม่น้ำ Seine เพื่อลดปัญหาในการจราจรทางน้ำ สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่เคยพลาดคือ การล่องเรือ Bateaux Mouches  เพื่อชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำ เกาะกลางแม่น้ำ Seine เรียกว่า La Cite(Ile de la Cite) ปารีสมีอายุราว 2000 ปีแล้ว ปารีสเป็นเมืองใหญ่ที่สวยงาม โดยมีเกาะ Cite เป็นศูนย์กลาง การที่นครปารีสแบ่งเป็นเขตบริหาร เรียกว่า arrondissements นั่นก็เพราะตัวเมืองพัฒนาเป็นรูปวงกลม คล้านหอยทาก นั่นเอง ปัจจุบันปารีสมีทั้งหมด 20 arrondissements และมีสะพานเชื่อมต่ออยู่เป็นจำนวนมาก
สะพานที่ยาวที่สุด มีชื่อว่า Le Pont-Neuf และ Paris อยู่ในแคว้น Lle de France


Bateaux Mouches 

 บาโต มูช คือการล่องเรือเพื่อเที่ยวชมเมืองปารีส ของฝรั่งเศส ซึ่งจะล่องน้ำไปตามแม่น้ำแซนเพื่อชมเมืองปารีสโดยรอบ
 คำว่า บาโต มูช ( Bateaux Mouches ) นั้นเป็นคำที่มาจากชื่อเครื่องหมายทางการค่า ของ คอมปานี เดส บาโต มูช ( Compagnie des Bateaux Mouches ) ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้การบริการล่องเรือในกรุงปารีส คำว่า บาโต มูช ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า เรือแมลงวัน ซึ่งเป็นการใช้คำที่เข้าใจผิด อันที่จริงแล้ว เป็นการนำคำมาจากสถานที่ที่สร้างเรือ คือ บริเวร ย่านมูช (Mouche ) ใน เมืองริยง ( Lyon ) 
 เรือที่นำเที่ยวนี้เป็นที่นิยมมากใน ปารีส เรือมีที่นั้งเยอะและจะมีบริเวณที่เปิดและปิดหลังคาให้เลือกนั่งได้ ใช้เวลาในการชมเมืองประมาณ ชั่วโมง ซึ่งหลายๆ บริษัทมีการให้บริการอาหารกลางวัน รวมไปถึงอาหารเย็นบนเรืออีกด้วย 
        เนื่องจากแม่น้ำแซนตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหญ่อย่าง ปารีส ทำให้การล่องเรือไปตามแม่น้ำนั้นได้พบกับสถานที่ที่สวยงามมากมายที่อยู่ในปารีส เช่น หอไอเฟลมหาวิหารนอร์ทเทอดามสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ และ พิพิธภัณฑ์ลูฟ เป็นต้น ดังนั้น การมาล่องเรือ บาโต มูช เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งสำหรับคนที่มาเที่ยวฝรั่งเศส จะต้องแวะเวียนมา

ล่องเรือ Bateaux Mouches แม่น้ำเเซน ชมวิวเมืองปารีส

เรือ Bateaux Mouches มองเห็นหอไอเฟล



เรือ Bateaux Mouches มองเห็นหอไอเฟลเหมือนกัน


โบสถ์ Notre Dame
เป็นมหาวิหารสมัยกอธิค ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและเป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหารนอเทอร์ดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในลักษณะกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วีโยเล-เลอ-ดุก (Eugène Viollet-le-Duc) ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส


รูปปั้นเทพีเสรีภาพ ที่ประเทศฝรั่งเศส

เทพีเสรีภาพ  เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตที่คนฝรั่งเศสมีให้คนอเมริกัน  อีก รูปปั้นของเทพีเสรีภาพตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์กมีความสูง 92 เมตร  มือด้านหนึ่งชูคบไฟและมืออีกด้านถือแผ่นจารึกเพื่อประกาศเสรีภาพที่เกิดขึ้นของประเทศฝรั่งเศส  นายช่างผู้รังสรรค์งานประติมากรรมชิ้นนี้มีนามว่า เฟรเดริก ออกุส บาร์ชอลดี กล่าวกันว่า เขาได้อาศัยแนวคิดจากงานประติมากรรมหลายชิ้นในอดีตมาเป็นแม่แบบในการสร้างรูปปั้นขนาดมหึมาชิ้นนี้  และได้อาศัยภาพใบหน้ามารดาของเขาเป็นภาพใบหน้าของเทพีเสรีภาพที่ต้องต่อสู้ผ่านความยากลำบากมาเป็นเวลานาน ประเทศฝรั่งเศสสร้างเพื่อมอบให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพ ปัจจุบันมีการทำแบบจำลองไว้ ตัว โดยตัวแรกอยู่ริมแม่น้ำแซนในกรุงปารีส และตัวที่สองตั้งอยู่ที่เมืองกอลมา แคว้นอัลซาส


Grand Palais

grand palais เป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างเหล็กและแก้ว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (หลังจากที่ crystal palace ใน london ถูกไฟไหม้ทำลายไปเมื่อปี 1936)  grand palais (grand palace) คือสถานจัดแสดง งาน ขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นในปี 1900 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่องาน exposition universelle de 1900 งาน world fair ครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 1900 ซี่งมีผู้เข้าชมรวมทั้งหมดกว่า 50 ล้านค


บรรยากาศบนเรือ ข้างบนที่สัมผัสอากาศที่หนาวเย็น
และสำหรับใครที่หนาว ยังมีห้องข้างล่างที่ทำความอุ่นด้วย



สะพาน Alexandre III


           สะพาน Alexandre III สร้างในปี 1897 เพื่อเชื่อม สัมพันธภาพระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซียและเพื่อ เป็น อนุสรณ์แก่ พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่3 แห่งรัสเซีย    สะพานแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 3 ปี (ค.ศ. 1897 – ค.ศ.1900 ) และทำพิธีเปิดครั้งแรกในโอกาสวัน เปิดงานมหกรรมโลกในปี ค.ศ. 1900
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ Le Louvre

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ หรือในชื่อทางการว่า The Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี ค.ศ.1793 มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง ตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=janthanar&month=01-2008&date=08&group=6&gblog=13

th.wikipedia.org 


.................................................





โจกุลซาลอน (Jökulsárlón) ล่องธารน้ำแข็งพันปี



โจกุลซาลอน (Jökulsárlón) เป็นทะเลสาปธารน้ำแข็ง  เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นทะสาปธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ถ้าภาษาชาวบ้านก็ต้องเรียกว่าสถานที่มีชื่อ อยู่ทางด้านทิศใต้ตรงปลายทางของธารน้ำแข็งพันปี วัทนาโจกุล” (glacier Vatnajökull) อยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ชื่อว่าสเกฟตาลเฟลล์ (Skeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (Höfn) เมืองของชาวประมง ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ   โจกุลซาลอน ปรากฏเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วง ค.ศ.1934-1935
  

และ ค่อย ๆ ขยายตัวเพิ่มพื้นที่ขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏว่าในปี 1975 มีพื้นที่ 7.9 ตารางกิโลเมตร เมื่อธารน้ำแข็งละลายมากขึ้น มากขึ้น ๆ ในทุก ๆ ปี ในปัจจุบันมีกินพื้นที่กว้างถึง  18 ตารางกิโลเมตร โดยมีความลึกของน้ำถึง 200 เมตร คำนวนง่าย ๆ เอาฝรั่งตัวสูง 2 เมตรมายืนต่อกันให้ได้ 100 คน จะได้ความลึกของทะเลสาปแห่งนี้  โจกุนซาลอนจึงได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาปที่ลึกเป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์  รองก็แต่ öskjuvatn ซึ่งเป็นทะเลสาปที่อยู่ตรงปากปล่องภูเขาอาซค์จ้า (Askja) ออกเสียงตามภาษาไทยง่าย ๆ ผู้ชำนาญภาษาก็ออกเสียงกันตามชอบใจ ซึ่งไอ้ทะเลสาปนี้กว้างไม่มากเพราะอยู่ในปากกล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วมีน้ำ อยู่ แต่ลึกหน่อยคือ 220 เมตร  เพราะอยู่สูงจึงได้ชื่อว่าลึกที่สุดในประเทศว่างั้นเถอะ
          




      นักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่นี่จะเห็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ที่ละลายลงมาจากภูเขาน้ำแข็งด้านบน และไหลลงสู่ทะเล บางครั้งอาจเห็นนกทะเลสีดำที่ริมฝั่งทะเลตรงปลายเชื่อมระหว่างทะเลกับโจกุล ซาลอน ที่มีชื่อเรียกว่า Skúas และสีขาวตระกูลนกนางนวล ที่เรียกว่า big  seagulls  บาง ครั้งอาจจะได้เห็นสิงห์โตทะเล ที่ดำผุดดำว่ายทวนน้ำบางตามน้ำบ้าง หาจับปลาที่ว่ายทวนน้ำ ก็เป็นบรรยากาศเย็นแบบได้ใจในช่องฟิตตู้เย็นเมืองไทยเราก็เย็นไปอีกแบบ

.................................................